
พระมห าบัญญัติในโลกธุรกิจ
“บัดนี้ข้าพเจ้ากำลังแสวงหาการยอมรับจากมนุษย์หรือจากพระเจ้า? ข้าพเจ้าอุตส่าห์เอาใจมนุษย์หรือ? ถ้าข้าพเจ้ากำลังเอาใจมนุษย์อยู่ ข้าพเจ้าก็ไม่ใช่ทาสของพระคริสต์”
กาลาเทีย 1:10 THSV11
https://bible.com/bible/174/gal.1.10.THSV11

ผมเขียนบทความนี้ หลังจากที่ได้ใคร่ครวญพระคำใน กาลาเทีย 1:10 ครับ ซึ่งผลของการใคร่ครวญนี้ ทำให้ผมต้องปรับเปลี่ยนวิธีคิดเกี่ยวกับการทำธุรกิจไปอย่างมากมายเลยทีเดียว พระคำในตอนนี้กล่าวไว้ว่า
"บัดนี้ข้าพเจ้ากำลังพูดเอาใจมนุษย์หรือ ข้าพเจ้าทำให้เป็นที่ชอบพระทัยพระเจ้ามิใช่หรือ ข้าพเจ้าอุตส่าห์ประจบประแจงมนุษย์หรือ ถ้าข้าพเจ้ากำลังประจบประแจงมนุษย์อยู่ ข้าพเจ้าก็ไม่ใช่ผู้รับใช้ของพระคริสต์"
ในฐานะนักธุรกิจ และที่ปรึกษาที่เคยพร่ำสอนเรื่องการตลาดให้กับผู้ประกอบการมากมาย พอได้มานั่งอ่านพระคัมภีร์ข้อนี้ ก็ทำให้ผมกลับมาฉุกคิดว่า "เรากำลังทำอะไรผิดหรือเปล่า"
ตามหลักการตลาด แน่นอนว่าเราย่อมต้อง "ตอบสนองความต้องการของลูกค้า" หรืออีกนัยหนึ่ง เราต้อง "เอาใจมนุษย์" นั่นเอง สิ่งนี้คือสิ่งสำคัญที่ไม่มีนักธุรกิจคนไหนปฏิเสธแน่นอน
แต่สำหรับ นักธุรกิจคริสเตียน ล่ะ เราควรเชื่อในหลักการแห่งการ "เอาใจมนุษย์" นี้หรือไม่
ผมนั่งใคร่ครวญเรื่องนี้อยู่สักพัก แล้วก็เห็นว่า พระคัมภีร์เขียนชัดมากจนไม่อาจหาทางตีความเป็นอย่างอื่นไปได้ ผมไม่ควรเอาใจมนุษย์ ผมไม่ควรแสวงหาการยอมรับจากมนุษย์ สายตาของผมควรจับจ้องที่องค์พระเยซูคริสต์เท่านั้น
คำถามที่ตามมาทันทีก็คือ อ้าว !! แล้วผมควรทำธุรกิจแบบไหนล่ะ ในเมื่อคนทั้งโลกต่างก็บอกว่า การเอาใจมนุษย์ คือ หัวใจสำคัญของความสำเร็จทางธุรกิจ
หลังจากที่ใคร่ครวญอยู่สักพัก ผมก็ได้ความเข้าใจอย่างหนึ่งว่า
นักธุรกิจคริสเตียนไม่ควรวางความเชื่อไว้บนหลักการของโลกนี้ ถึงแม้คนทั้งโลกนี้จะเชื่อว่า การเอาใจมนุษย์คือหัวใจของความสำเร็จ
แต่สำหรับนักธุรกิจคริสเตียน หัวใจสำคัญคือ การยึดมั่นใน "พระมหาบัญญัติ" ของพระเยซู ที่เขียนไว้ใน มธ.22:37-40 (บางคริสตจักรอาจไม่ได้เรียกว่า พระมหาบัญญัติ)
“พระเยซูทรงตอบเขาว่า “ ‘จงรักองค์พระผู้เป็นเจ้าของท่านด้วยสุดใจของท่านด้วยสุดจิตของท่าน’ และด้วยสุดความคิดของท่าน นั่นแหละเป็นพระบัญญัติข้อสำคัญอันดับแรก ข้อที่สองก็เหมือนกัน คือ ‘จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง’ ธรรมบัญญัติและคำของผู้เผยพระวจนะทั้งหมด ก็ขึ้นอยู่กับพระบัญญัติสองข้อนี้”” - มัทธิว 22:37-40 THSV11
(1) รักพระเจ้าด้วยสุดจิตสุดใจและสุดความคิด
ลองมาคิดกันดูว่า ถ้าเรารักพระเจ้าด้วยสุดจิตสุดใจสุดความคิดสุดกำลังของเราแล้ว เราจะแสดงออกอย่างไรในการทำธุรกิจ
พระเจ้าสอนให้เราทำทุกสิ่งเสมือนหนึ่งทำเพื่อถวายแด่พระเจ้า ถ้าเรารักพระเจ้าสุดๆ แล้วเราทำธุรกิจ เราจะทำสินค้าแบบไหนออกมา เราจะให้บริการลูกค้าแบบไหน ถ้าเรากำลังคิดว่า เราไม่ได้ทำสินค้าให้มนุษย์ เราไม่ได้ให้บริการมนุษย์ แต่เรากำลังทำสินค้าเพื่อถวายแด่พระเจ้า ให้บริการเหมือนกำลังปรนนิบัติรับใช้พระเจ้า
ถ้าเราทำธุรกิจด้วยท่าทีแบบนี้ ลูกค้าที่ซื้อสินค้าหรือบริการของเราไปจะรู้สึกอย่างไร ?
ไม่ใช่แค่กับลูกค้า แล้วกับซัพพลายเออร์ หรือพนักงานล่ะ เราควรทำตัวอย่างไร เราจะสั่งซื้อสินค้าหรือบริการอย่างไร เราจะจ้างงานสั่งงานพนักงานอย่างไร
อย่างที่เคยเขียนไว้ในบทความที่แล้ว ที่พูดถึงว่า นักธุรกิจคริสเตียนก็คือ อัครทูตของพระเจ้าที่กำลังนำข่าวประเสริฐเข้าไปในโลกธุรกิจ เราคือผู้ที่แบกตรายี่ห้อหรือแบรนด์ของพระเยซูเอาไว้
คนในโลกธุรกิจจะเห็นพระเจ้าแบบไหน ก็ขึ้นอยู่กับว่า เขาเห็นชีวิตของเราแบบไหน เขาเห็นเราทำกับเขาแบบไหน
เรากำลังเอาเปรียบเขาอยู่หรือเปล่า เรากำลังโกงเขาอยู่หรือเปล่า เราอาจพยายามกดราคาซัพพลายเออร์ เราอาจพยายามใช้งานพนักงานให้คุ้มค่าที่สุด ซึ่งก็เป็นแนวทางที่ธุรกิจทั่วไป ใครๆ ก็ทำกัน
แต่ถ้าเราทำแบบนั้น เขาก็จะเห็นพระเจ้าของเราเป็นแบบนั้นผ่านชีวิตของเรา เราจะป่าวประกาศว่าพระเจ้ารักเขามากเพียงใด พระเจ้าดีงามเพียงใด ก็ไม่มีประโยชน์อะไร เพราะถ้าพระเจ้ารักเขา ทำไมถึงปล่อยให้คนของพระเจ้า (ก็คือเรา) มาทำร้ายเขา เอาเปรียบเขาแบบนี้
และถ้าเรารักพระเจ้าสุดๆ แล้ว เราจะยอมให้พระเจ้าเสื่อมพระเกียรติเพราะการทำธุรกิจของเราหรือ !?! เรารับได้หรือ ถ้าแบรนด์ของพระเยซู แบรนด์แห่งความรัก ต้องเสียไปเพราะเพียงแค่เราอยากได้รับประโยชน์สูงสุดจากการทำธุรกิจ
รักพระเจ้าด้วยสิ้นสุดจิต สิ้นสุดใจ สิ้นสุดความคิด และสิ้นสุดกำลัง
(2) รักเพื่อนบ้านเหมือนรักตัวเอง
เอาล่ะ ! เรารู้แล้วว่า เราต้องสำแดงความรักที่เรามีต่อพระเจ้าผ่านการทำธุรกิจของเราออกไปยังลูกค้า ซัพพลายเออร์ พนักงาน และคนอื่นๆ ในสังคม
แล้วในทางปฏิบัติล่ะ เราจะต้องทำอย่างไร
คำตอบของคำถามนี้ อยู่ในพระบัญญัติข้อนี้
"รักเพื่อนบ้านเหมือนรักตัวเอง"
เราทุกคนต่างก็รักตัวเอง (ถ้าคุณไม่รักตัวเอง คุณก็ควรรักนะ เพราะพระเจ้ารักคุณมากเลย)
ดังนั้นให้เราลองถามตัวเองดูว่า ถ้าเป็นคุณ ยอมจ่ายเงินซื้อสินค้าบางอย่างมา คุณอยากได้สินค้าแบบไหน คุณภาพแบบไหน ถ้าเป็นคุณไปใช้บริการบางอย่าง คุณอยากได้รับบริการแบบไหน ถ้าคุณเป็นซัพพลายเออร์ให้กับบางองค์กรล่ะ คุณอยากให้เขาทำธุรกิจร่วมกับคุณแบบไหน ถ้าคุณเป็นลูกจ้างเป็นพนักงานขององค์กร คุณอยากให้นายจ้างหรือผู้บริหารระดับสูง ดูแลคุณแบบไหน ใช้งานคุณแบบไหน
ถ้าด้วยความรักตัวเอง ทำให้คุณอยากได้สินค้าคุณภาพดีที่สุด (เหมาะสมกับราคา) อยากได้บริการที่ดีที่สุด อยากได้รับการให้เกียรติจากลูกค้าในฐานะที่เราเป็นซัพพลายเออร์ให้กับเขา อยากได้รับการดูแลอย่างดีที่สุดจากนายจ้าง เราไม่อยากถูกคดโกง ไม่อยากถูกเอาเปรียบ ไม่อยากถูกเข้าใจผิด ไม่อยากได้รับผลกระทบแง่ลบกับสุขภาพร่างกายในอนาคต ฯลฯ
ด้วยการรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตัวเอง คุณก็ต้องทำธุรกิจโดยใช้มาตรฐานเดียวกับสิ่งที่คุณต้องการอยากได้รับนั่นแหละครับ
ดังนั้นถ้าถามผมในวันนี้ว่า ถ้าไม่พยายามเอาใจมนุษย์แล้ว เราจะทำธุรกิจอย่างไร
คำตอบของผมคือ ให้เราทำธุรกิจตามพระมหาบัญญัติของพระเจ้า ทำธุรกิจด้วยความรักที่มีต่อพระเจ้าแบบสุดจิตสุดใจ และทำธุรกิจด้วยความรักที่มีต่อเพื่อนบ้าน (ลูกค้า ซัพพลายเออร์ พนักงาน และสังคม) เหมือนรักตัวเองครับ
แล้วมาลองดูกันว่า ธุรกิจของเราจะเติบโตอย่างยิ่งใหญ่ขนาดไหน เมื่อเราเลิกจับจ้องสายตาของเราเพื่อคอยเอาใจมนุษย์ แต่หันสายตาของเรามาจับจ้องมองที่น้ำพระทัยพระเจ้า


