top of page

3 การล่อลวงใน 3 ช่วงชีวิต ที่นักธุรกิจคริสเตียนทุกคนต้องเจอ (ตอนแรก)

“ส่วนผู้ทดลองมาหาพระองค์ทูลว่า “ถ้าท่านเป็นพระบุตรของพระเจ้า จงสั่งก้อนหินเหล่านี้ให้กลายเป็นขนมปัง”" - มัทธิว‬ ‭4:3‬ ‭THSV11‬‬

3 การล่อลวงใน 3 ช่วงชีวิต ที่นักธุรกิจคริสเตียนทุกคนต้องเจอ (ตอนแรก)

การล่อลวงแรก เกิดในช่วงที่คุณพึ่งเริ่มต้น ธุรกิจยังไม่เข้าที่ยังไม่ลงตัว หรืออาจเกิดในช่วงที่ธุรกิจเกิดปัญหาจนต้องสะดุดหยุดลง

ในช่วงแรกของการทำธุรกิจ ชีวิตในแต่ละวันมักยังไม่สวยหรูดูดีเหมือนที่เคยคิดใฝ่ฝันเอาไว้ ส่วนใหญ่ต้องล้มลุกคลุกคลาน ในบางครั้งเมื่อมองย้อนกลับไปก่อนหน้าที่จะเริ่มต้นธุรกิจ เรามักจะรู้สึกว่า ตอนนั้นทุกอย่างมันช่างดูดีเหลือเกิน เราเริ่มต้นธุรกิจด้วยความมั่นใจในการทรงเรียกของพระเจ้า เรามุ่งมั่นเหลือเกินว่าจะทำธุรกิจเพื่อให้เป็นที่ชอบพระทัยพระเจ้า ด้วยความเชื่อที่เรามี ประกอบกับในวันนั้นมีผู้คนมากมายมาอวยพรมาอธิษฐานเผื่อ บางคนก็มาเป็นพยานถึงความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าที่มีต่อธุรกิจของเรา เราจึงไม่เคยเผื่อใจไว้เลยแม้แต่น้อยว่า เราจะต้องเข้าสู่ถิ่นทุรกันดาร

พอทุกอย่างไม่เป็นไปอย่างที่เราคิด ไม่เป็นอย่างที่เราหวัง เราเลยเกิดความสับสน กระวนกระวาย หวั่นไหว บางคนอาจสงสัยในตัวเองว่าเราดีไม่พอ หรือเราเผลอไปทำบาปอะไรมา บางคนอาจสงสัยในการทรงเรียก อาจคิดว่าตัวเองฟังเสียงพระเจ้าผิดไป หรือบางคนอาจถึงขั้นสงสัยในพระเจ้า

ไม่ใช่แค่ตอนเริ่มต้นเท่านั้น บางครั้งการล่อลวงนี้อาจย้อนกลับมาในวาระเวลาที่ธุรกิจเราเจออุปสรรคปัญหาก็ได้ ปัญหาเศรษฐกิจ การเมือง โรคระบาด อาจทำให้ธุรกิจของเราต้องตกต่ำย่ำแย่

ลองมาดูในพระคัมภีร์ตอนนี้กัน พระเยซูพึ่งได้รับบัพติศมาในน้ำ พระบิดาพึ่งบอกว่า “ท่านผู้นี้เป็นบุตรที่รักของเรา เราชอบใจท่านมาก” (มัทธิว 3:17) นี่น่าจะเหมือนกับเราในวันที่ได้รับการวางมืออธิษฐานเผือธุรกิจเลย !!!

หลังจากนั้นเกิดอะไรกับพระเยซูล่ะ พระองค์ต้องเสด็จเข้าไปในถิ่นทุรกันดาร และโดนมารมาทดลอง พระองค์ต้องอดอาหารไม่ได้ทานอะไรเลยถึง 40 วัน เราคิดว่าพระองค์ทรงกำลังเผชิญกับอะไรบ้างใน 40 วันนี้ !!! ความสะดวกสบายหรือ !!! ความสุขความสำเร็จหรือ !!! นี่พระเยซูนะ พระองค์ทรงเป็นพระเจ้านะ !!! และแม้ว่าเวลานั้นพระองค์จะทรงอยู่ในสภาพมนุษย์ 100% พระองค์ก็ทำตามพระทัยพระบิดาอยู่นะ ทำไมพระองค์ต้องทนทุกข์ในถิ่นทุรกันดารด้วยล่ะ !!! เรามีเหตุผลอะไรที่จะอธิบายให้เราฟังได้ดีไปกว่า เพราะพระองค์ทรงทำเป็นแบบอย่างให้เราเห็นนั่นเอง พระองค์ทรงทนทุกข์ให้เราเห็นว่า แม้พระองค์จะตกอยู่ในสถานการณ์แบบเดียวกับเรา พระองค์ก็ยังไม่ได้พ่ายแพ้ต่อการทดลอง !!!

รู้แบบนี้แล้ว ลองมาดูกันว่า พระองค์เจอการล่อลวงอะไรเป็นอย่างแรก แล้วพระองค์ตอบสนองอย่างไรกับการล่อลวงนั้น

อย่างที่บอกไปแล้วว่า พระองค์ไม่ได้ทานอะไรมาถึง 40 วัน ในพระคัมภีร์ก็เขียนไว้ว่า "ภายหลังพระองค์ก็ทรงหิว" แล้วมารมาทำอะไรกับพระเยซู มันมาเชิญชวนว่า "พระองค์หิวเหรอ ถ้าหิวก็อธิษฐานสิ พระเจ้าจะได้เปลี่ยนก้อนหินนี้ให้เป็นขนมปังให้ไง"

ฟังดูเหมือนดีนะ ฟังเหมือนมารมาสอนให้พระเยซูอธิษฐาน ฟังดูเหมือนมารพยายามพูดเพื่อเพิ่มความเชื่อว่า พระเจ้าเปลี่ยนก้อนหินให้เป็นขนมปังได้

แต่เอาจริงๆ ถ้าเราสังเกตดีๆ มารไม่ได้พูดด้วยความเชื่อหรือต้องการให้เรามีความเชื่อมากขึ้น คำพูดของมันแฝงนัยตรงกันข้ามกันเลย ถ้าแปลคำพูดมันใหม่ มันกำลังบอกว่า "เอ้า เชื่อว่าพระเจ้ายิ่งใหญ่ไม่ใช่เหรอ แน่จริงก็ขอให้พระองค์เปลี่ยนก้อนหินให้เป็นขนมปังดูสิ ถ้าพระองค์ทำได้คงทำไปนานแล้ว ไม่ต้องปล่อยให้เจ้าหิวอยู่ถึง 40 วันหรอก" คำพูดของมันไม่ได้มุ่งหวังที่จะทำให้ความเชื่อมากขึ้น แต่กำลังทำให้ความสงสัยเพิ่มมากขึ้นต่างหาก

รู้สึกคุ้นๆ มั้ยครับ

นี่แหละสิ่งที่มันกำลังทำกับเราอยู่ มันมาทำให้เราสงสัยในความดีงามของพระเจ้า ความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า และความรักที่พระเจ้ามีต่อเรา ในวันที่เราต้องเผชิญกับความยากลำบาก เหมือนกับกำลังอยู่ในถิ่นทุรกันดาร

ดูสิ ทำไมพระองค์อนุญาตให้เราทำธุรกิจนี้แล้ว ถึงยอมให้เกิดโรคระบาด จนธุรกิจย่ำแย่แบบนี้ รู้มั้ยว่าเราลงทุนไปเท่าไหร่ นี่คือเงินเก็บทั้งหมดในชีวิตเราเลยนะ แถมเรายังไปกู้หนี้ยืมสินเขามาอีกมากเลยนะ ทำไมพระเจ้าไม่ทำให้โรคระบาดหมดไป ลูกค้าจะได้เริ่มมาเข้าร้านเราสักที

ดูสิ ธุรกิจเรากำลังส่งออกไปได้ดีๆ อยู่แท้ๆ ทำไมพระองค์ยอมให้อเมริกากับจีนทะเลาะกันจนเศรษฐกิจโลกปั่นป่วนแบบนี้ เงินเราจ่ายซัพพลายเออร์ไปแล้ว ของก็ส่งลูกค้าไปแล้ว ทำไมพระองค์ไม่ช่วยให้เราเก็บเงินได้ล่ะ

ดูสิพระเจ้า รายได้ก็ไม่มี มีแต่รายจ่าย ลูกก็อยากแสดงความรักกับพนักงานนะ ลูกเชื่อฟังพระองค์ ลูกเลยไม่ยอมปลดพนักงานเลยแม้แต่คนเดียว ลูกไม่ลดเงินเดือนพวกเขาด้วยซ้ำ ทั้งที่ลูกไม่มีรายได้เข้ามาเลย ลูกช่วยคนอื่นแล้ว แล้วพระองค์อยู่ไหน ทำไมไม่มาช่วยลูกบ้าง

ถ้าคำพูดหรือความคิดเหล่านี้ กำลังเกิดขึ้นกับเรา ก็แสดงว่า เรากำลังตกหลุมพรางการล่อลวงแรกของมารเสียแล้วล่ะครับ

เรากำลังพูดว่าหรืออธิษฐานว่า "ถ้าพระเจ้าเป็นจริง (หรือถ้าพระเจ้ารักเราจริง) ก็เปลี่ยนก้อนหิน (ธุรกิจที่ย่ำแย่) ให้กลายเป็นขนมปัง (ธุรกิจที่รุ่งเรือง) สิ"

เราอาจพูดว่า "ก็มันจริงนี่นา ดูสิว่าธุรกิจเรากำลังย่ำแย่ขนาดไหน ดูสิว่าชีวิตเรากับครอบครัวย่ำแย่ขนาดไหน ทำไมพระเจ้าไม่ช่วยเราล่ะ คุณก็พูดได้สิ คุณไม่เจอเหมือนเรานี่ คุณไม่เข้าใจเราหรอก"

มันก็จริงนะครับ ที่คนอื่นอาจไม่ได้เจอเหมือนเรา เขาอาจไม่เข้าใจเรา แต่เราคิดว่า ชีวิตเขาไม่ได้เจอความยากลำบากเลยหรือในช่วงเวลาแบบนี้

หรือเอาเถอะ เขาอาจไม่เจอเรื่องย่ำแย่อย่างเราจริงๆ เขาอาจไม่สามารถเข้าใจเราได้จริงๆ แต่อย่าลืมว่า มีคนหนึ่งซึ่งเข้าใจเราเสมอ เพราะเขาผ่านสถานการณ์แบบนี้มาก่อนเรา พระเยซูอย่างไรล่ะครับ พระองค์ทรงทนแบกรับความทุกข์ทรมานในถิ่นทุรกันดาร เพื่อเป็นแบบอย่างให้เราเห็นว่า ในยามที่เราเจ็บปวด ทุกข์ทรมานใจ เราก็ยังมีสิทธิ์เลือกว่า เราจะเชื่อเสียงล่อลวงของมาร หรือฟังเสียงความจริงของพระเจ้าอยู่ดี

พระเยซูตอบมารไปว่า "มนุษย์จะดำรงชีวิตด้วยอาหารเพียงอย่างเดียวไม่ได้ แต่ต้องดำรงชีวิตด้วยพระวจนะทุกคำ ซึ่งออกมาจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า" (มัทธิว 4:4)

หรือถ้าจะแปลความกันให้ดูเป็นนิยายสักหน่อย ก็คงได้ประมาณว่า

"มารเอ๋ย เจ้าพูดผิดแล้ว อาหารไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุดหรอก พระเจ้าจะเปลี่ยนก้อนหินเป็นขนมปังหรือไม่ก็ไม่สำคัญสำหรับเรา เท่ากับความจริงที่พระองค์บอกเราหรอก วันนี้เราอาจหิว วันนี้ก้อนหินอาจไม่เปลี่ยนเป็นขนมปัง แต่มันไม่สามารถเปลี่ยนความจริงที่ว่า พระเจ้ายิ่งใหญ่ และไม่สามารถเปลี่ยนความจริงที่ว่า พระบิดาบอกเราว่าเราเป็นบุตรที่รักของพระองค์ได้หรอก"

ใช่แล้วล่ะครับ นี่คือสิ่งที่เราควรตอบสนองต่อสถานการณ์แบบนี้ นี่คือสิ่งที่เราควรจัดการกับการล่อลวงแรกของมาร

ในวันที่ธุรกิจเราตกต่ำย่ำแย่ที่สุด ในเวลาที่มารมาล่อลวงให้เราสงสัยในความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ในความรักของพระเจ้า ในการทรงเรียกของพระเจ้า ในวันที่มันมาท้าทายเราว่า "ลองอธิษฐานสิว่า ถ้าพระเจ้ามีจริง ก็เปลี่ยนสถานการณ์แย่ๆ ในธุรกิจของเรา ให้กลายเป็นความสำเร็จรุ่งเรืองสิ"

ในวันนั้น ให้เราตอบมันไปอย่างชัดเจนหนักแน่นว่า "ความสำเร็จรุ่งเรืองทางธุรกิจก็ดูเหมือนสำคัญกับชีวิตของเรานะ แต่มันไม่สำคัญเท่ากับความจริงของพระเจ้าหรอก แม้ว่าวันนี้ธุรกิจเราจะย่ำแย่ขนาดไหน แต่มันก็ไม่สามารถเปลี่ยนความจริงที่ว่า พระเจ้ายิ่งใหญ่ และเราเป็นบุตรที่รักของพระเจ้าได้หรอก และแม้ว่าวันนี้ธุรกิจของเราจะต้องล้มเหลวจนต้องปิดตัวลงไป เราก็จะไม่สงสัยในความดีงามของพระเจ้า เราจะพูดเหมือนที่โยบพูดว่า

“ข้ามาจากครรภ์มารดาตัวเปล่า และข้าจะกลับไปตัวเปล่า พระยาห์เวห์ประทาน และพระยาห์เวห์ทรงเอาไปเสีย สาธุการแด่พระนามพระยาห์เวห์” - โยบ 1:21

และนี่คือ การล่อลวงแรกที่มารมักใช้กับนักธุรกิจคริสเตียน พร้อมกับวิธีการเอาชนะคำล่อลวงนั้น ที่พระเยซูทรงแสดงให้เราเห็นเป็นแบบอย่างแล้ว

สำหรับพี่น้องที่อยู่ในสถานการณ์แบบนี้ในวันที่อ่านบทความนี้ ผมขออธิษฐานเผื่อคุณว่า "ขอพระเจ้าทรงเสริมกำลังให้กับคุณ ขอพระเจ้าทรงเปิดตาใจของคุณให้สว่าง ไม่โดนมารเอาคำโกหกมาล่อลวงจนคุณรู้สึกหวั่นไหวในความจริงของพระเจ้า ขอพระองค์ประทานความกล้าหาญกับคุณที่คุณจะพูดตอกกลับมารไปชัดเจนได้ว่า ไม่ว่ามันจะมาล่อลวงให้คุณสงสัยอย่างไร แต่คุณจะไม่ยอมสงสัยในความจริงของพระเจ้าอย่างแน่นอน พระเจ้าของคุณยิ่งใหญ่ และคุณคือบุตรที่รักของพระเจ้า แล้วคุณจะทำให้มารและโลกนี้ได้เห็นความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ในพระนามพระเยซูคริสต์เจ้า อาเมน"

สำหรับอีกสองการล่อลวงนั้น ไว้มาติดตามในตอนต่อๆ ไปกันครับ

For more information, contact us.

DoYourWill Co.,Ltd. 79/78 The Plant Simpls, Soi Ramkhamhaeng 118, Ramkhamhaeng Road, Saphan Sung Subdistrict, Saphan Sung District, Bangkok, Thailand. 
Phone: 080-614-6514​ Email: info.workingtribes@gmail.com or via Line OA : @workingtribes

Copyright © 2017. DoYourWill Co.,Ltd. All Rights Reserved.

bottom of page