top of page

3 การล่อลวงใน 3 ช่วงชีวิต ที่นักธุรกิจคริสเตียนทุกคนต้องเจอ (ตอนสอง)

“แล้วมารก็นำพระองค์ไปยังนครบริสุทธิ์ และให้พระองค์ประทับที่ยอดหลังคาพระวิหาร แล้วทูลพระองค์ว่า “ถ้าท่านเป็นพระบุตรของพระเจ้า จงกระโดดลงไป เพราะพระคัมภีร์มีเขียนไว้ว่า ‘พระเจ้าจะรับสั่งเรื่องท่านต่อบรรดาทูตสวรรค์ของพระองค์ และทูตสวรรค์จะเอามือประคองชูท่านไว้ ไม่ให้เท้าของท่านกระทบหิน’ ” - มัทธิว‬ ‭4:5-6‬ ‭THSV11‬‬

3 การล่อลวงใน 3 ช่วงชีวิต ที่นักธุรกิจคริสเตียนทุกคนต้องเจอ (ตอนสอง)

ในตอนที่แล้วเราคุยกันถึง สามการล่อลวงที่มารซาตานชอบมาใช้กับเรา และวิธีการเอาชนะคำล่อลวงนั้นไปแล้วหนึ่งแบบ สำหรับในตอนนี้เราจะมาต่อกันที่การล่อลวงแบบที่สอง ซึ่งมักจะมาในเวลาที่ธุรกิจของเราเริ่มต้นที่จะรุ่งเรือง มองเห็นความสำเร็จเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ยอดขายมากขึ้น ลูกค้าประจำมากขึ้น ลูกค้าใหม่มากขึ้น จนกำลังการผลิตที่มีอยู่เริ่มไม่เพียงพอ ที่นั่งในร้านอาหารหรือห้องพักในโรงแรมของเราอาจจะเต็มตลอดจนลูกค้าต้องจองคิวล่วงหน้าเป็นเดือนๆ

แล้วเราก็เริ่มมาคิดได้ว่า ไม่ได้การแล้ว แบบนี้มันเป็นการเสียโอกาส เราควรจะต้องเก็บเกี่ยวโอกาสเอามาให้หมด โดยการขยายกิจการ ลงทุนขยายโรงงาน ติดตั้งเครื่องจักรเพิ่ม เพิ่มจำนวนพนักงาน ขยายสาขาใหม่ แตกไลน์สินค้าใหม่ๆ ลูกค้ารักเราเยอะขนาดนี้ ไม่มีอะไรน่ากลัว ยิ่งเปิดยิ่งกำไรแน่นอน

แต่พอเราเริ่มเราความคิดให้คนในครอบครัวหรือเพื่อนสนิทฟัง กลับได้รับคำเตือนว่าใจเย็นๆ อย่ารีบร้อน การลงทุนเพิ่มอาจดีจริงแต่ก็มีความเสี่ยงตามมาด้วยเช่นกัน พอเราได้ยินแบบนั้น เราก็รีบสวนกลับไปว่า “เจ้าผู้มีความเชื่อน้อยเอ๋ย.... ไม่เห็นหรือว่าพระเจ้าอวยพรธุรกิจของเรามากขนาดไหน แล้วเราจะหยุดอยู่แค่นี้ทำไม เราต้องขยายท่อพระพรให้ใหญ่ขึ้น จะได้มีพระพรหลั่งไหลลงมามากขึ้น”

และนี่แหละครับคือ การล่อลวงแบบที่สอง ล่อลวงให้เราไม่ต้องเกรงกลัวอะไร เพราะมั่นใจว่าเราไม่มีทางพลาดแน่นอน

ให้เรามาดูในพระคัมภีร์ มธ.4:1-11 กันต่อครับ คราวนี้เราจะมาโฟกัสกันที่ข้อ 5-7

“แล้วมารก็นำพระองค์ไปยังนครบริสุทธิ์ และให้พระองค์ประทับที่ยอดหลังคาพระวิหาร แล้วทูลพระองค์ว่า “ถ้าท่านเป็นพระบุตรของพระเจ้า จงกระโดดลงไป เพราะพระคัมภีร์มีเขียนไว้ว่า ‘พระเจ้าจะรับสั่งเรื่องท่านต่อบรรดาทูตสวรรค์ของพระองค์ และทูตสวรรค์จะเอามือประคองชูท่านไว้ ไม่ให้เท้าของท่านกระทบหิน’ ” - มัทธิว‬ ‭4:5-6‬ ‭THSV11‬‬

ในพระคัมภีร์ตอนนี้ เราได้เห็นถึงแผนการแยบยลที่มารมันเอามาใช้ล่อลวงพระเยซู มันพาพระองค์ขึ้นไปยังยอดหลังคาพระวิหาร แล้วท้าทายให้พระองค์กระโดดลงจากที่สูง โดยมีการนำพระคัมภีร์มากล่าวอ้างด้วย ประมาณว่า “ไม่ต้องตกลงไปบาดเจ็บหรอกนะ เพราะทูตสวรรค์จะมารับท่านไว้” แหม ฟังดูดีอีกแล้ว ลองนึกภาพตามไปด้วยนะครับว่า ทำไมมารต้องพาพระเยซูขึ้นไปบนยอดหลังคาพระวิหารแล้วค่อยให้กระโดดลงมา ทำไมไม่พาไปที่อื่น เช่น ยอดเขาในถิ่นทุรกันดาร หรือหลังคาพระราชวัง ทำไมมันเลือกหลังคาพระวิหาร

แม้เรื่องนี้ไม่ได้มีการเขียนไว้ในพระคัมภีร์ แต่ผมคาดเดาว่า บทสนทนาในตอนนั้นอาจมีเพิ่มเติมประมาณว่า “นี่ไงพระเยซู เราพาเจ้ามาบนหลังคาพระวิหารแล้ว ดูสิ บรรดาปุโรหิตต่างก็ประจำการกันอยู่เต็มไปหมด แถมยังมีประชาชนมากมายอยู่บริเวณโดยรอบด้วย แค่เจ้ากระโดดลงไปด้วยความเชื่อนะ คนก็จะเห็นเจ้า แล้วเมื่อทูตสวรรค์มารับเจ้าเอาไว้ คนทั้งหลายก็จะเห็นว่า เจ้าเป็นผู้เผยพระวจนะขององค์พระเจ้าสูงสุด เจ้าไม่จำเป็นต้องไปทนทุกข์ทรมานบนไม้กางเขนหรอก ให้พวกคนเหล่านี้เขาได้เห็นความยิ่งใหญ่ของพระเจ้ากันไปเลย”ย้ำอีกครั้งนะครับว่านี่ไม่ได้อยู่ในพระคัมภีร์ เป็นส่วนที่ผมจินตนาการเพิ่มขึ้นมาเอง

เห็นรูปแบบที่มารมันใช้กันหรือไม่ครับ มันพาพระเยซูขึ้นไปที่สูง แล้วท้าทายให้พระเยซูสำแดงความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าด้วยการให้ทำในสิ่งที่คนทั่วไปไม่เชื่อว่าจะเป็นไปได้

รู้สึกคุ้นๆ มั้ยครับ

ในวันที่ธุรกิจของเรากำลังรุ่งเรือง ในวันนั้นเราก็เหมือนคนที่ยืนอยู่บนที่สูง แน่นอนว่าความสำเร็จของเรานั้นมาจากพระเจ้าไม่ใช่มาร แต่มารมันก็ฉวยเอาโอกาสนี้นี่แหละมาล่อลวงเรา มันจะมากระซิบข้างหูเราว่า

“เยี่ยมไปเลย เจ้าขึ้นมาได้สูงขนาดนี้แล้ว เจ้ายังขึ้นไปสูงได้อีกนะ ขยายกิจการเลย ไม่ต้องกลัวความเสี่ยงหรอก เจ้าไม่มีวันล้มแน่นอน เพราะพระเจ้าจะส่งทูตสวรรค์มาปกป้องธุรกิจของเจ้า ขยายกิจการเลย ลงทุนเต็มที่เลย อย่าไปกลัว เศรษฐกิจแย่เหรอ ไม่เป็นไรหรอก เพราะพระเจ้าจะให้เจ้าเติบโตสวนกระแสโลก คนอื่นที่เขามาเตือนเจ้า เขาแค่ไม่มีความเชื่อเหมือนเจ้า เขาเลยติดแหง่กอยู่ที่เดิม อย่าไปกลัว ไม่ต้องคิดมาก ขยายกิจการเลย”

เป็นไงครับ ฟังดูดีเลยใช่มั้ยครับ

แต่ถ้าเราหยุดคิดสักครู่หนึ่ง แล้วถามตัวเองว่า ตกลงแล้วความอยากขยายธุรกิจของเรา มันมาจากน้ำพระทัยพระเจ้า หรือมาจากความโลภของเรา แล้วการที่เราบอกว่าเราจะไม่พลาด เพราะเราเชื่อจริงๆ ว่าพระเจ้าจะปกป้องธุรกิจของเรา หรือเป็นเพราะความหยิ่งของเรา ตอบตัวเองให้ได้แบบแฟร์ๆ นะครับ เพราะมันไม่มีประโยชน์อะไรเลยที่คุณจะหลอกตัวเอง

ผมรู้จักพี่น้องคริสเตียนหลายคนเลยที่พลาดตรงนี้ ธุรกิจของเขากำลังรุ่งเรืองเติบโต กลายเป็นนักธุรกิจคริสเตียนที่สามารถแบ่งปันพระพรได้อย่างมากมาย เป็นกำลังสำคัญในการถวายให้กับคริสตจักรและพันธกิจ และยังเป็นแรงบันดาลใจให้กับแวดวงคริสเตียนได้อย่างมากมาย แต่มาถึงวันหนึ่ง ธุรกิจเหล่านั้นกลับตกต่ำลงอย่างมาก หรืออาจต้องล้มเลิกกิจการไปเลย เหตุผลสำคัญก็เพราะ การขยายธุรกิจอย่างรวดเร็วเกินไปโดยไม่ใส่ใจเรื่องการบริหารความเสี่ยงของธุรกิจเลย

แน่นอนว่า การขยายกิจการเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่เป็นไปได้สำหรับทุกธุรกิจ ทุกธุรกิจต่างก็คาดหวังที่จะเติบโตให้ได้มากขึ้น ก็ต้องขยายกิจการให้ใหญ่ขึ้น แต่ต้องไม่ลืมว่าทุกครั้งที่ขยายกิจการ เราต้องใช้เงินลงทุนเพิ่มมากขึ้น โดยที่เอาจริงๆ ก็ไม่มีอะไรมาการันตีได้ว่า ยอดขายหรือลูกค้าจะเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย หรือถึงแม้จะมีลูกค้าเพิ่มขึ้นในช่วงแรกจริง ก็ไม่ได้แปลว่าลูกค้าจะจงรักภักดีกับสินค้าและบริการของเราไปเรื่อยๆ โดยไม่สามารถมีอะไรมาสั่นคลอนได้

ยิ่งหากเป็นรูปแบบของการขยายสาขา ยิ่งมีสาขามาก เราก็ยิ่งควบคุมดูแลให้ทั่วถึงได้ยาก คุณภาพสินค้าและบริการก็อาจต่ำลงกว่ามาตรฐานที่ควรจำเป็น พนักงานก็อาจถูกล่อลวงให้ทุจริตกันได้ง่าย ทั้งหมดนี้ล้วนแล้วแต่เป็นความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นเมื่อเราขยายกิจการอย่างไม่ระแวดระวัง เราเร่งรีบกระโดดลงจากยอดหลังคาด้วยความเชื่อว่าเราจะทำได้สำเร็จอย่างปลอดภัยไร้กังวล ก่อนจะได้พบกับความจริงว่า เราต้องลงไปนอนกองอยู่กับพื้นด้วยความเจ็บปวดอย่างมากมาย

ลองมาดูกันว่า พระเยซูตอบโต้กับมารเพื่อเป็นตัวอย่างให้เราว่าอย่างไร

พระเยซูตอบมารไปว่า “พระคัมภีร์มีเขียนไว้อีกว่า ‘อย่าทดลององค์พระผู้เป็นเจ้าผู้เป็นพระเจ้าของท่าน’ ”

ว่าแต่ทำไมพระเยซูถึงใช้คำว่า “อย่าทดลอง” ล่ะ ผมคิดว่าพระองค์ใช้คำนี้เพราะหลายเหตุผลครับ

เหตุผลแรก พระองค์ต้องการจะบอกว่า ไม่ใช่ว่าพระองค์คิดว่าพระเจ้าทำไม่ได้ หรือ พระเจ้าจะไม่ทำนะ พระองค์เชื่อในพระคัมภีร์ที่เขียนไว้แบบนั้น พระองค์เชื่อว่าพระเจ้าส่งทูตสวรรค์มาช่วยได้ แต่ประเด็นที่สำคัญก็คือ มีความจำเป็นอะไรที่พระองค์จะต้องกระโดดลงไปจากยอดพระวิหารด้วยล่ะ !!!

เหตุผลที่สอง สืบเนื่องมาจากข้อแรก ในเมื่อจริงๆ แล้วพระองค์ไม่มีความจำเป็นอะไรเลยที่จะต้องกระโดดลงไป นอกเสียจากว่ามารมันกำลังมาท้าทายความเชื่อของพระเยซู มันอาจจะพูดประมาณว่า “เฮ้ย!!! ถ้าแน่จริง ก็กระโดดลงไปให้ดูหน่อยสิวะ พระเจ้ายิ่งใหญ่ไม่ใช่เหรอ แถมพระเจ้าก็ให้สัญญาไว้แล้วด้วย มาลองดูกันหน่อยดิว่า พระเจ้าดีจริงเปล่า” นัยยะของมันคือ ต้องการให้พระเยซู “ทดลองพระเจ้า” ดูว่าพระเจ้าจะทำตามพระสัญญาหรือไม่

ด้วยเหตุนี้พระเยซูจึงเลือกตอบไปว่า “อย่าทดลององค์พระผู้เป็นเจ้าผู้เป็นพระเจ้าของท่าน” และนี่คือวิธีการที่เราสามารถใช้จัดการกับการล่อลวงในแบบที่สองได้

ลองคิดต่อกันอีกหน่อยนะครับว่า จังหวะนี้ ถ้าพระเยซูกระโดดลงไปจะเกิดอะไรขึ้น ผมเชื่อเหลือเกินว่า พระองค์จะไม่เป็นอะไร ทูตสวรรค์จะมาช่วยพระองค์อย่างแน่นอน คนมากมายที่นั่นอาจจะได้เห็นความยิ่งใหญ่ของพระเข้า รวมถึงอาจจะเชื่อว่าพระเยซูเป็นพระบุตรของพระเจ้าด้วย แต่นั่นจะมีประโยชน์อะไรครับ เพราะนั่นไม่ใช่แผนการที่พระเจ้าวางไว้ให้กับพระเยซูตั้งแต่ต้น ถ้าพระเยซูกระโดดลงมา พระองค์อาจไม่จำเป็นต้องไปที่ไม้กางเขนจริงๆ ก็ได้ แต่นั่นก็จะกลายเป็นว่า พวกเราก็จะไม่ได้รับความรอดครับ

ในวันที่ธุรกิจเราเริ่มประสบความสำเร็จ เราเห็นการดีต่างๆ เกิดขึ้นมากมาย เรารู้สึกว่าเราต้องทำอะไรเพิ่มขึ้นอีก เพื่อที่เราจะประสบความสำเร็จมากข้ึนอีก เราเห็นถึงพระพรมากมายที่พระเจ้าให้กับเรา พระเจ้านำพาเราจนขึ้นมาอยู่ที่สูง แล้วทันใดนั้น เจ้ามารตัวร้ายก็มาปรากฎตัวข้างหูเรา แล้วกระซิบเชิญชวนเราให้เรา “โลภ” และเลือกจะตัดสินใจเองด้วย “ความหยิ่ง” โดยไม่ได้ไปถามพระเจ้าเลยว่า นี่ใช่แผนการที่พระเจ้าวางไว้หรือไม่

ในวันนั้นให้เราตอบมันไปอย่างหนักแน่นมั่นคงว่า “อย่ามาหลอกให้เราทดลองพระเจ้าเลย ทำไมเราจะต้องทำอย่างที่เจ้าบอกด้วยล่ะ เรารู้อยู่แล้วว่าพระเจ้าทำได้ และพระเจ้าจะทำ เพราะเราเชื่ออยู่แล้ว มันเป็นความจริงอยู่แล้ว เราไม่จำเป็นต้องทำอะไรเสี่ยงๆ เพื่อทดลองพระเจ้าเลย”

และนี่คือ การล่อลวงแบบที่สองที่มารมักใช้กับนักธุรกิจคริสเตียน พร้อมกับวิธีการเอาชนะคำล่อลวงนั้น ที่พระเยซูทรงแสดงให้เราเห็นเป็นแบบอย่างแล้ว

เพื่อให้เกิดความสมดุลและความเข้าใจที่ครบถ้วน บทความนี้ไม่ได้กำลังบอกว่า การขยายกิจการเป็นสิ่งที่ผิด หรือการลงทุนอะไรที่มีความเสี่ยงเป็นสิ่งที่ผิด แต่ก่อนอื่นเราต้องมั่นใจก่อนว่า เรากำลังจะทำอะไรและเพื่ออะไร

เราต้องตอบคำถามให้ได้ว่า ทำไมเราถึงควรขยายกิจการหรือเลือกลงทุนเพิ่มเติม มันมีความจำเป็นจริงๆ หรือไม่ หรือเราแค่โลภไปเอง เราต้องตอบให้ได้ว่าในการลงทุนครั้งนี้มีความเสี่ยงอะไรบ้าง แล้วเราจะต้องทำอะไรเพื่อลดความเสี่ยงเหล่านั้นให้เหลือต่ำที่สุด

เราควรปรึกษาคนที่เราปรึกษาได้ คนที่เขามีความรู้ความเข้าใจเรื่องธุรกิจในแง่มุมต่างๆ (ย้ำว่าปรึกษาคนที่มีความรู้ความเข้าใจนะครับ ไม่ใช่ใครก็ได้) เพราะว่า “เมื่อไม่มีการชี้แนะ ประชาชนก็ล้มลง แต่โดยมีที่ปรึกษามาก ก็มีความปลอดภัย”(สุภาษิต 11:14) “เพราะโดยการชี้แนะ เจ้าจะทำสงครามได้ และโดยมีที่ปรึกษามาก ย่อมมีชัยชนะ” (สุภาษิต 24:6)

เราควรฟังความคิดเห็นของคนที่เราไปขอคำปรึกษา แล้วนำมาคิดใคร่ครวญวางแผนให้เต็มที่ แล้วจึงนำสิ่งที่เราคิดไปทูลถามพระเจ้าว่า แผนการที่เราคิดมาแบบนี้ สอดคล้องกับแผนการของพระเจ้าหรือเปล่า เพราะว่า “แผนงานความคิดเป็นของมนุษย์ แต่คำตอบของลิ้นมาจากพระยาห์เวห์” (สุภาษิต 16:1)

ถ้าแผนการขยายธุรกิจมาจากพระเจ้า ก็มั่นใจได้เลยครับว่า แม้เราจะเผลอเรอจนลื่นตกเขา หรืออาจจะถูกมารมาเตะขัดขาจนกลิ้งตกจากเขา แต่พระเจ้าจะส่งทูตสวรรค์มาเอามือประคองชูท่านไว้ ไม่ให้เท้าของท่านกระทบหินอย่างแน่นอน

สำหรับการล่อลวงแบบสุดท้าย ไว้มาติดตามกันต่อในตอนต่อไปครับ

For more information, contact us.

DoYourWill Co.,Ltd. 79/78 The Plant Simpls, Soi Ramkhamhaeng 118, Ramkhamhaeng Road, Saphan Sung Subdistrict, Saphan Sung District, Bangkok, Thailand. 
Phone: 080-614-6514​ Email: info.workingtribes@gmail.com or via Line OA : @workingtribes

Copyright © 2017. DoYourWill Co.,Ltd. All Rights Reserved.

bottom of page