top of page

3 การล่อลวงใน 3 ช่วงชีวิต ที่นักธุรกิจคริสเตียนทุกคนต้องเจอ (ตอนจบ)

“อีกครั้งหนึ่งมารได้นำพระองค์ขึ้นไปบนภูเขาที่สูงมาก และได้แสดงบรรดาราชอาณาจักรในโลก ทั้งความรุ่งโรจน์ของราชอาณาจักรเหล่านั้นให้พระองค์ทอดพระเนตร แล้วได้ทูลพระองค์ว่า “ถ้าท่านจะก้มลงนมัสการเรา เราจะให้สิ่งทั้งปวงเหล่านี้แก่ท่าน”” - มัทธิว‬ ‭4:8-9‬ ‭THSV11‬‬

3 การล่อลวงใน 3 ช่วงชีวิต ที่นักธุรกิจคริสเตียนทุกคนต้องเจอ (ตอนจบ)

มาถึงการล่อลวงแบบที่สาม ที่มารมักใช้ล่อลวงนักธุรกิจคริสเตียนกันแล้วนะครับ

ในสองบทความที่ผ่านมา เราได้พูดถึงการล่อลวงแรกที่มาในเวลาที่เราเริ่มต้นธุรกิจ ธุรกิจของเรายังเต็มไปด้วยปัญหามากมาย ทุกอย่างไม่เป็นไปตามใจปรารถนา

และการล่อลวงที่สองที่มาในเวลาที่ธุรกิจของเรากำลังดูรุ่งเรืองขึ้น ลูกค้ามากขึ้น ยอดขายมากขึ้น จนเรารู้สึกอยากขยับขยายธุรกิจออกไปโดยไม่เกรงกลัวสิ่งใด

สำหรับการล่อลวงที่สามนี้ มักจะมาในเวลาที่ธุรกิจของเราประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่และมั่นคง ผู้คนในสังคมต่างก็ให้การยอมรับ ไม่ว่าจะเป็นระดับอำเภอ จังหวัด ประเทศ รวมถึงในแวดวงคริสเตียนด้วย

ในช่วงเวลาแบบนี้ ดูเหมือนเราน่าจะมีทุกอย่างที่เราต้องการครบถ้วน แถมเราอาจจะเป็นคนที่ถวายเพื่อคริสตจักรและพันธกิจอย่างมากมาย แล้วมารมันจะเอาอะไรมาล่อลวงเราได้อีกล่ะ

ให้เราลองมาดูกันต่อใน มธ.4:8-9 ครับ

“อีกครั้งหนึ่งมารได้นำพระองค์ขึ้นไปบนภูเขาที่สูงมาก และได้แสดงบรรดาราชอาณาจักรในโลก ทั้งความรุ่งโรจน์ของราชอาณาจักรเหล่านั้นให้พระองค์ทอดพระเนตร แล้วได้ทูลพระองค์ว่า “ถ้าท่านจะก้มลงนมัสการเรา เราจะให้สิ่งทั้งปวงเหล่านี้แก่ท่าน”” - มัทธิว‬ ‭4:8-9‬ ‭THSV11‬‬

“สิ่งทั้งปวง” ที่มารนำมาเสนอให้กับพระเยซูคืออะไร

มารกำลังเสนอบรรดาราชอาณาจักรของโลกนี้ให้กับพระเยซู !!!

มันรู้อยู่แล้วว่าพระเยซูจะเสด็จกลับมาเป็นครั้งที่สองเพื่อครอบครองทั้งโลกนี้ มันเลยเสนอทางลัดให้กับพระองค์ เพื่อให้พระองค์ไม่ต้องทนทุกข์ลำบากและยังต้องรอคอยอีกเนิ่นนานกว่าวันนั้นจะมาถึง

โดยแลกกับเงื่อนไขคือ พระเยซูต้องก้มลงนมัสการมัน

ในวันที่เราประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่เสมือนเราได้ขึ้นไปอยู่บนยอดเขาที่สูงมากนั้น สิ่งที่มารจะนำมาหยิบยื่นเสนอให้กับเรา ก็คือ ชื่อเสียง เกียรติยศ และอำนาจครับ

มันจะมาเสนอสิทธิ์ในการครอบครองเหนือบางอาณาจักร เช่น พยายามยกเราขึ้นให้เป็นประธานสมาคมนั้นองค์กรนี้ ยุยงส่งเสริมให้เราลงเล่นการเมืองระดับท้องถิ่น เพื่อช่วงชิงการเป็นผู้มีอิทธิพลในตำบลของเรา ในจังหวัดของเรา หรืออาจยุยงให้เราลงเล่นการเมืองระดับประเทศ ร้ายกว่านั้นมันอาจยุยงให้เราเล่นการเมืองในองค์กรคริสตจักรอีกด้วย

แน่นอนว่าตำแหน่งต่างๆ เหล่านั้นโดยพื้นฐานแล้วก็เป็นสิ่งดี มันสามารถช่วยต่อยอดธุรกิจของเราได้ มันอาจช่วยให้เราสามารถเป็นพรกับผู้อื่นมากขึ้นได้ และยังสามารถช่วยให้เรานำพระคุณความรักของพระเจ้าไปยังผู้คนอีกมากมายได้ด้วย แต่สิ่งที่สำคัญกว่าการได้ตำแหน่ง คือ แรงจูงใจที่อยู่เบื้องหลังและวิธีการที่เราได้ตำแหน่งมาต่างหาก

พระเจ้ามีแผนการที่ดีเพื่อเราทุกคน เป็นแผนการเพื่อสวัสดิภาพไม่ใช่ทุกขภาพ พระเจ้าปรารถนาที่จะยกชูเราขึ้นสูงเพื่อให้เราเป็นเกลือและแสงสว่างที่แท้จริงให้กับโลกนี้ และนำการปกครองของอาณาจักรสวรรค์ลงมาบนแผ่นดินโลก แต่ในแผนการของพระเจ้า “ไม่มีทางลัด !!!”

ดังนั้นคำถามที่เราต้องหมั่นถามย้ำกับตัวเองในวันนั้น วันที่เรากำลังจะก้าวขึ้นไปสู่ตำแหน่งที่ใหญ่ขึ้น มีบทบาทอิทธิพลที่มากขึ้น คือ

เราจะก้าวขึ้นไปเพื่ออะไรและเพื่อใคร เราปรารถนาตำแหน่งนั้นเพื่อชื่อเสียงลาภยศสรรเสริญของตัวเราเอง หรือ เพื่อพระเจ้าจริงๆ

และเราจะก้าวขึ้นไปสู่ตำแหน่งนั้นได้อย่างไร ด้วยวิธีการที่ถูกต้องชอบธรรมในสายพระเนตรพระเจ้าแต่อาจช้ากว่า หรือ ด้วยวิธีการที่โลกนี้นิยมใช้กันซึ่งอาจจะรวดเร็วกว่า เช่น การล็อบบี้กัน การมอบผลประโยชน์ต่างตอบแทน หรือการซื้อเสียง เป็นต้น

ถ้าเราตอบสองคำถามนี้ด้วยความจริงใจ แล้วพบว่าคำตอบคือ เรากำลังทำเพื่อตัวเอง ด้วยวิธีการแบบของโลกที่ไม่ถูกต้องตามสายพระเนตรพระเจ้า (หรืออาจแค่เทาๆ ยากจะตัดสินว่าถูกหรือผิด) แสดงว่า เรากำลังจะเผลอใจไป “นมัสการมารซาตาน” เสียแล้วล่ะครับ

แรงนะ ... แต่มันก็เป็นความจริง

แล้วเราก็ไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิดไปนะครับ เพราะพระเยซูเองก็ถูกล่อลวงในเรื่องนี้เช่นกัน มารซาตานก็เสนอเงื่อนไขที่จะให้พระองค์ครอบครองบรรดาราชอาณาจักรโดยที่พระองค์ไม่ต้องเหนื่อย ไม่ต้องทนทุกข์ ไม่ต้องเสียเวลาทำตามแผนการของพระเจ้าเช่นกัน เพียงแค่พระองค์เลือกนมัสการมัน

จริงๆ แล้วการที่มารมันมาบอกพระเยซูว่าให้นมัสการมันแทน ก็เหมือนกับการที่มันพยายามบอกว่า “เรารู้นะว่าเจ้ามาเพื่ออะไร เจ้ามาเพื่อจะได้ครอบครองบรรดาราชอาณาจักรเหล่านั้นใช่มั้ยล่ะ เรารู้ว่าเจ้าปรารถนามัน ใช่ๆ เจ้าจะได้มัน แต่แผนการที่พระเจ้าวางไว้ให้เจ้าน่ะมันช้าไปนะ ดูสิ กว่าเจ้าจะได้มันมาเจ้าจะต้องทนทุกข์มากมาย แล้วยังต้องรอคอยเวลาอีกนานหลายพันปี มาใช้แผนการของเราดีกว่า ทั้งเร็วกว่า ง่ายกว่า สบายกว่า ชัวร์กว่า เรานี่ไงที่เป็นเจ้าของโลกนี้ เราเองที่เป็นผู้ครอบครองทุกสิ่ง แค่เจ้ายอมรับความจริงนี้ และนมัสการเรา เราจะยกทั้งหมดนี้ให้เจ้าเลย”

แต่พระเยซูไม่ได้เลือกทางนั้น ทางที่ดูดีกว่าง่ายกว่าสบายกว่าชัวร์กว่าในสายตามนุษย์ เพราะพระองค์เชื่อมั่นในแผนการของพระเจ้า พระองค์รู้และมั่นใจอย่าง 100% ว่า พระองค์จะได้ครอบครองสิ่งเหล่านั้นอย่างแน่นอนด้วยวิธีการที่ถูกต้องในเวลาที่เหมาะสม

และที่สำคัญที่สุดคือ พระองค์รู้ดีว่า “ใครคือเจ้าของโลกนี้ตัวจริง”

พระเยซูเริ่มต้นตอบสนองการล่อลวงของมารซาตานด้วยคำว่า “จงไปให้พ้นเจ้าซาตาน...” พระองค์ไล่มันไป เพราะพระองค์รู้ดีว่าจริงๆ แล้วมันไม่มีอำนาจครอบครองสิ่งใดเลย มันเป็นแค่ผู้อ้างสิทธิ์ที่มันไม่ได้มีอยู่จริง !!!

ถ้าจะให้เปรียบเปรยก็เหมือนกับว่า นายเอ ไปขอซื้อสินค้าจากนายบีซึ่งเป็นเจ้าของสิทธิบัตรนวัตกรรมนั้น นายเอนำสินค้าไปขายต่อโดยพยายามสร้างแบรนด์ของตัวเอง ด้วยการพยายามโฆษณาประชาสัมพันธ์ว่าตัวเองเป็นเจ้าของสิทธิบัตรตัวจริง มีเพียงสินค้าแบรนด์ของตัวเองเท่านั้นที่เป็นของแท้ นานวันเข้า คนก็เริ่มเชื่อว่าสินค้าของนายเอคือของจริง สินค้าอื่นๆ เช่น สินค้าของนายบี เป็นเพียงของที่ทำขึ้นมาเลียนแบบเท่านั้น

แล้ววันหนึ่ง นายซีซึ่งเป็นลูกของนายบี ก็จะมาทวงคืนสิทธิ์ความเป็นเจ้าของตามนิตินัย แต่แทนที่นายเอจะตกใจและรีบคืนสิทธิ์ให้ นายเอกลับบอกว่า “นี่ๆ เห็นมั้ยว่าคนทั้งโลกเขาเชื่อกันว่า เจ้าของสินค้าตัวจริงคือฉัน ถ้านายซีอยากจะได้คืนไป เขาก็คืนให้ได้นะ เอาอย่างนี้สิ ไปออกรายการทีวีด้วยกัน เดี๋ยวฉันจะบอกให้คนทั้งโลกรู้เลยว่า ฉันขอมอบสิทธิ์ให้กับนายซี เท่านี้เอง ง่ายๆ ใช่มั้ย ไม่ต้องฟ้องร้องกันให้เป็นคดีความใหญ่โต สิ้นเปลืองเงินทอง แถมกว่าคดีจะถึงที่สุดก็ต้องรอไปอีกหลายปี แค่ฉันพูดออกสื่อแค่คำเดียวว่าฉันยกสิทธิ์ให้นาย แค่นั้นทุกอย่างก็จบแล้ว”

ฟังดูง่ายดีมั้ยครับ แต่ถ้าเราคิดดีๆ เราจะเห็นความบิดเบี้ยวในประโยคของนายเอ

ทำไมนายซีจะต้องให้นายเอบอกว่ายกสิทธิ์ให้ด้วยล่ะ ในเมื่อสิทธิ์เป็นของนายซีโดยชอบธรรมอยู่แล้ว ไม่เพียงแค่นั้น ทำไมต้องให้ไปพูดออกสื่อด้วยล่ะ ถ้านายซีไปออกรายการทีวีกับนายเอ แล้วยอมให้นายเอพูดว่าจะยกสิทธิ์ให้นายซี ก็แสดงว่า นายซียอมรับว่านายเอเป็นเจ้าของสิทธิ์ที่ถูกต้องสิ !!!

เรื่องนี้ยังไม่จบแค่นี้ หลังจากที่นายซีไม่ได้หลงกลนายเอ และทวงคืนสิทธิ์ไปสำเร็จ คนทั้งโลกได้เห็นแล้วว่าเจ้าของสิทธิ์ตัวจริงคือนายบี โดยมีนายซีซึ่งเป็นบุตรโดยชอบธรรมรับมอบสิทธิ์นั้นไป แต่นานวันเข้าคนก็เริ่มหลงลืมเหตุการณ์นี้

นายเอเริ่มกลับมาแอบอ้างสิทธิ์ใหม่ เริ่มโหมโฆษณาประชาสัมพันธ์ออกไปว่าตัวเองเป็นเจ้าของสิทธิ์ที่แท้จริง คนก็เริ่มหันกลับมาเชื่อนายเออีกครั้ง คราวนี้ก็ถึงคิวของนายดี ซึ่งเป็นลูกของนายซี เป็นหลานของนายบี ที่จะต้องมาทวงคืนสิทธิ์จากนายเอ

นายเอก็ใช้มุขเดิม ชวนนายดีไปออกไลฟ์สดทางหน้าเพจของนายเอ แล้วสัญญาว่าจะพูดกลางไลฟ์สดว่าจะยกสิทธิ์ให้นายดี

แต่คราวนี้แทนที่นายดีจะรู้ทัน นายดีกลับเริ่มหวั่นไหว แล้วก็แอบคิดในใจว่าวิธีนี้ก็ง่ายดี ไม่ต้องเหนื่อยไปฟ้องร้องกันตามกฎหมาย ไม่ต้องรอกระบวนการยุติธรรม ซึ่งก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะชนะคดีจริงมั้ย

อ่านมาถึงตรงนี้ ทุกคนคงเดาออกใช่มั้ยครับว่า ถ้านายดีไปออกไลฟ์กับนายเอ เพื่อหวังให้นายเอยกสิทธิ์ให้ตัวเอง จะเกิดอะไรขึ้น

ใช่ !! นายดีได้สิทธิ์ แต่นายดีก็ได้ยอมรับแล้วว่า สิทธิ์นั้นเป็นของนายเอ ไม่ใช่นายบี !!

นายดี ก็คือ พวกเราทุกคนนั่นเอง

แล้วเราควรตอบสนองต่อการล่อลวงนี้อย่างไรล่ะ เราก็ควรทำเหมือนที่พระเยซูทำครับ

เลิกคิดจะต่อรองกับมันแล้วไล่มันไป รู้ว่าสิทธิ์ในการยกชูชีวิตของเราอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า ถ้าพระเจ้าจะให้ ใครเล่าจะขวางเราได้ แต่ถ้าพระเจ้าจะไม่ให้หรือยังไม่ให้ตอนนี้ เราก็ไม่ควรเลือกวิธีที่ง่ายกว่าโดยการยอมรับข้อเสนอของมารแล้วใช้วิธีการของมัน

ตอกหน้ามันกลับไปเลยว่า “จงไปให้พ้นเจ้าซาตาน อย่ามาโกหกให้เสียเวลา เจ้าไม่มีสิทธิ์อะไรเลย ไม่มีอำนาจอะไรเลย สิทธิอำนาจทั้งสิ้นเป็นของพระเจ้า เราจะเชื่อพึ่งวางใจในพระเจ้าเพียงพระองค์เดียว เราเชื่อว่าแผนการของพระเจ้าดีที่สุดแล้ว แผนงานนั้นอาจไม่รวดเร็วดั่งใจของเรา แต่สติปัญญาของพระเจ้าเหนือกว่าสติปัญญาของมนุษย์ พระองค์รู้ดีว่าเราควรก้าวขึ้นไปหรือไม่ และควรก้าวขึ้นไปด้วยจังหวะเวลาอย่างไรที่เหมาะสมที่สุด เราไม่ต้องการทางลัดใดๆ ทั้งสิ้น เพราะเราไม่ได้กำลังทำเพื่อตัวเราเอง เรากำลังทำเพื่อพระเจ้าตามแผนการน้ำพระทัยของพระเจ้า”

และนี่คือการล่อลวงสุดท้ายที่เราจะต้องเจอ ซึ่งเราสามารถชนะมันได้อย่างแน่นอน

อย่างไรก็ดี อย่าลืมว่า มารมันจะไม่ยอมปล่อยให้เราชนะไปได้ง่ายๆ มันจะคอยย้อนกลับมาล่อลวงเราอีก ครั้งแล้วครั้งเล่า ทุกครั้งที่เรากำลังจะก้าวขึ้นสูงไปอีกระดับ มันจะย้อนกลับมาล่อลวงเราใหม่

ดังนั้น เราจึงต้อง “...ระวังระไวให้ดี ด้วยว่าศัตรูของท่านคือมาร วนเวียนอยู่รอบๆ ดุจสิงห์คำรามเที่ยวไปเสาะหาคนที่มันจะกัดกินได้” (1 เปโตร 5:8 TH1971)

สุดท้ายของบทความในซีรีส์นี้ ผมขออธิษฐานเผื่อทุกท่านนะครับ

“ขอให้ทุกท่านมีชัยชนะเหนือการล่อลวงทั้งปวง ไม่ว่าท่านจะอยู่ในจุดไหน กำลังเผชิญกับการล่อลวงใด ขอท่านมีกำลังขึ้นเพื่อจะต่อสู้กับมาร มีสติปัญญาที่จะมองเห็นความจริงที่อยู่เบื้องหลังคำโกหกของมาร และท่านจะมีชัย ท่านจะชนะ และท่านจะได้ครอบครองทุกสิ่งนานัปการที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้เพื่อท่าน และท่านจะได้ถวายเกียรติสูงสุดแด่พระเจ้าของเรา เพื่อทั้งโลกนี้จะได้เห็นความจริงว่า พระเจ้าของเรายิ่งใหญ่เพียงใด และพระเจ้าของเรารักเรามาเพียงใด ขอสันติสุขของพระเจ้าปกคลุมอยู่เหนือทุกท่าน ขอทูตสวรรค์ของพระเจ้ามารายล้อมท่านเพื่อปรนนิบัติท่าน เหมือนอย่างที่ในพระคัมภีร์บอกไว้ว่า แล้วมารจึงละพระองค์ไป และมีเหล่าทูตสวรรค์มาปรนนิบัติพระองค์ ในพระนามพระเยซูคริสต์เจ้า เอเมน”

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ติดต่อเรา

บริษัท ดูยัวร์วิลล์ จำกัด

79/78 หมู่บ้านเดอะแพลนท์ซิมพลีส ซอยรามคำแหง 118 ถนนรามคำแหง แขวงสะพานสูง เขตสะพานสูง กรุงเทพฯ, ประเทศไทย. 10240​

โทร: 083-833-8330 อีเมล : md@doyourwill.co.th หรือทาง Line OA : @workingtribes

Copyright © 2025. DoYourWill Co.,Ltd. All Rights Reserved.

bottom of page