
อธิษฐานด้วยความเชื่อสุดใจ ก็พอ (มั้ย) ?
“ข้าแต่พระยาห์เวห์ ช่วยนำความเจริญรุ่งเรืองกลับมาให้กับพวกเราอีกครั้ง เหมือนฝนนำน้ำมาสู่ลำธารที่แห้งขอดอีกครั้ง ขอให้คนเหล่านั้นที่หว่านพืชพร้อมน้ำตา ได้เก็บเกี่ยวพร้อมกับเสียงโห่ร้องยินดี ขอให้คนเหล่านั้นที่แบกถุงที่ใส่เมล็ดพืชออกไปหว่านในทุ่งด้วยน้ำตา ได้โห่ร้องยินดีเมื่อแบกฟ่อนข้าวกลับมาเป็นมัดๆ”
สดุดี 126:4-6 ฉบับอ่านเข้าใจง่าย

หลายคนคงเคยสงสัยเหมือนในประโยคข้างต้นนี้ เพราะอาจจะเคยได้ยินพี่น้องบางคนสอนว่า เมื่อเราอธิษฐานด้วยสุดใจแล้ว ที่เหลือก็ฝากไว้ที่พระเจ้าได้เลย เราไม่จำเป็นต้องทำอะไรอีก บางคนก็อธิบายเพิ่มเติมว่า การที่เราพยายามทำอย่างอื่นเพิ่มเติม สะท้อนถึงความไม่เชื่อวางใจในพระเจ้า หรือไม่ก็อธิบายว่า เหมือนเราไปพยายามช่วยพระเจ้า ซึ่งแน่นอนว่าพระเจ้าคงไม่ได้ต้องการให้เราช่วยเหลืออะไร
.
แล้วตกลงประโยคนี้เป็นจริงหรือไม่ หรือมีอะไรที่เราควรคิดพิจารณาให้ถี่ถ้วนขึ้นอีก
.
ก่อนจะตอบเรื่องนี้ บิลด์อยากชวนทุกคนย้อนมาร่วมกันคิดสักนิดว่า ถ้าเราเชื่อแบบนั้นจริงๆ จะส่งผลดีหรือผลเสียอย่างไรบ้าง
.
ความเป็นไปได้หนึ่งที่พบได้บ่อยในคนที่เชื่อแบบนี้ คือ พวกเขากำลังประสบปัญหาทางการเงินหรือการงาน แต่เมื่อพี่น้องพยายามช่วยกันหางานให้ทำเพื่อให้มีรายได้ เขากลับบอกว่า เขาเชื่อว่าพระเจ้าจะดูแลเขาดุจเลี้ยงแกะ เขาจะไม่ขัดสน (และเขาจะไม่ไปทำงาน)
.
สำหรับนักธุรกิจคริสเตียนบางคน ก็อาจจะประสบปัญหาบางอย่างในธุรกิจ เช่น ธุรกิจที่ทำมานานเกิดยอดขายตกมากอย่างต่อเนื่อง แต่เมื่อได้รับคำแนะนำจากพี่น้องหรือพนักงานให้เขาปรับเปลี่ยนอะไรบางอย่าง เช่น ตัดสินค้าบางอย่างที่ไม่สามารถสร้างกำไรให้บริษัทได้แล้ว หรือให้เริ่มทำการตลาดออนไลน์อย่างจริงจัง เขากลับไม่รับฟัง เพราะเขาเชื่อว่าพระเจ้าจะเป็นผู้ช่วยกู้ธุรกิจของเขาเอง
.
ถ้าถามบิลด์นะ บิลด์เชื่อว่า การที่เราเชื่ออย่างสุดใจ วางใจอย่างเต็มที่ ก็เป็นหลักการที่ถูกต้องอยู่นะครับ แต่ถ้าเราอ่านในพระคัมภีร์ดีๆ แล้ว พระคัมภีร์ไม่เคยสอนให้เราอธิษฐานแล้วก็งอมืองอเท้ารอรับการช่วยเหลือเพียงอย่างเดียวนะ แต่เราจะเห็นได้บ่อยๆ เลยที่พระคัมภีร์สอนให้เรา “ทำในส่วนของเราอย่างเต็มที่” แม้ว่าในเวลานั้นเราจะยังไม่เห็นประโยชน์ของสิ่งที่เราทำอยู่ก็ตาม
.
“ข้าแต่พระยาห์เวห์ ช่วยนำความเจริญรุ่งเรืองกลับมาให้กับพวกเราอีกครั้ง เหมือนฝนนำน้ำมาสู่ลำธารที่แห้งขอดอีกครั้ง ขอให้คนเหล่านั้นที่หว่านพืชพร้อมน้ำตา ได้เก็บเกี่ยวพร้อมกับเสียงโห่ร้องยินดี ขอให้คนเหล่านั้นที่แบกถุงที่ใส่เมล็ดพืชออกไปหว่านในทุ่งด้วยน้ำตา ได้โห่ร้องยินดีเมื่อแบกฟ่อนข้าวกลับมาเป็นมัดๆ”
สดุดี 126:4-6 ฉบับอ่านเข้าใจง่าย
.
อย่างในพระคัมภีร์ตอนนี้ คนเหล่านั้นที่เดินออกไปในทุ่งนา ทั้งที่หัวใจยังเจ็บปวด ทั้งที่รู้ว่าอาจเก็บเกี่ยวผลลัพธ์ไม่ได้ดีเท่าที่ควร แต่เขาก็ยังออกไปในทุ่งแล้วหว่านเมล็ดพืชลงไป และเมื่อเขาทำในส่วนของเขา (หว่านเมล็ด) อย่างเต็มที่แล้ว พระเจ้าก็ทำในส่วนของพระองค์ (ทำให้เมล็ดนั้นเติบโตและเกิดผล) อย่างเต็มที่เช่นกัน
.
ดังนั้นถ้าวันนี้เรากำลังอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่รู้จะทำอย่างไรต่อดี มองไปรอบตัว สถานการณ์ต่างๆ ก็ดูไม่เป็นใจ จะให้ลงมือทำอะไรก็ดูเหมือนมันจะไร้ประโยชน์ไปหมด เวลาแบบนี้แหละที่เราควรต้องอธิษฐานด้วยสุดใจ แล้วตัดสินใจก้าวออกไปทำในสิ่งที่อยู่ในความรับผิดชอบของเราอย่างดีที่สุด แล้วก็เชื่อได้เลยว่า เมื่อเราทำในส่วนของเราอย่างเต็มที่แล้ว พระเจ้าก็จะทำในส่วนของพระองค์อย่างเต็มที่เช่นกัน
.
เมื่อเรา "หว่านด้วยน้ำตา" เราก็จะได้ "เก็บเกี่ยวด้วยความชื่นชมยินดี"
.
ใครมีประสบการณ์ในเรื่องนี้ มาแบ่งปันกันได้นะครับ